ประวัติความเป็นมาของหนังสือ
มาลาคี
มาลาคีเป็นศาสดาพยากรณ์คนสุดท้ายในพระคัมภีร์เดิม ชื่อว่า มาลาคี หมายความว่า “ผู้ส่งข่าวของเรา” มาลาคี ซึ่งเป็นศาสดาพยากรณ์เขียนคนสุดท้าย ได้เขียนในสมัยเดียวกันกับเอสราและเนหะมีย์ หนังสือมาลาคีได้เขียนไว้หลังจากอิสราเอลเป็นเชลยในบาบิโลนเช่นเดียวกับหนังสือฮักกัยและหนังสือเศคาริยาห์ หลังจากหนังสือมาลาคีได้เขียนไว้นั้นไม่มีพระวจนะของพระเจ้าไปถึงอิสราเอลเป็นเวลา 400 ปี คือจนถึงสมัยของพระเยซู มาลาคีได้เตือนเกี่ยวกับความบาปของพวกปุโรหิต ความบาปภายในครอบครัว และความบาปของคนที่ขโมยจากพระเจ้าโดยไม่ถวาย 10 % ของรายได้และเงินถวายอื่นๆ และมาลาคีได้กล่าวถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซู และ “วันแห่งพระเยโฮวาห์”
เวลาและกิจการต่างๆในประวัติของอิสราเอลตั้งแต่เวลาที่เขากลับมาจากบาบิโลนจนถึงสมัยของมาลาคี
ปีก่อนค.ศ. กิจการ 536 ตามคำสั่งของไซรัส ชาวอิสราเอล 50000 คนกลับไปโดยเศรุบบาเบลเป็นผู้นำ (อสร 1-2)
534 ได้วางรากแห่งพระวิหารใหม่ (อสร 3) แต่ได้ถูกบังคับให้หยุดสร้างพระวิหาร 520 การประกาศของฮักกัยและเศคาริยาห์ ได้สร้างพระวิหารต่อ (อสร 5; ฮกก 1:5)
516 การสร้างพระวิหารเสร็จ (อสร 6:15) เพียงแต่ 20 ปีตั้งแต่ชาวอิสราเอล 50000 คนกลับไป 457 ชาวอิสราเอลอีก 1800 คนกลับไป โดยเอสราเป็นผู้นำ (ไม่ได้นับพวกภรรยา ลูกๆและคนใช้) (อสร 7)
445 ตามคำสั่งของกษัตริย์เนหะมีย์ได้กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะสร้างกำแพงเมืองอีก (นหม 2) 430 เนหะมีย์ได้กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีก หลังจากที่ไปเยี่ยมกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส (นหม 13:6-7)
มาลาคีได้พยากรณ์หลังจากเวลานี้ (รายการนี้จาก Explore the Book, โดย เจ ซิดโล แบกซ์เตอร์, เล่มที่ 4 หน้า 259-260)
1
พระเจ้าทรงรักและเลือกอิสราเอลเหนือเอโดม
1 ภาระแห่งพระวจนะของพระเยโฮวาห์ที่มีต่ออิสราเอลโดยมาลาคี 2 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราได้รักเจ้าทั้งหลาย” แต่ท่านทั้งหลายพูดว่า “พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์สถานใด” พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบมิใช่หรือ เราก็ยังรักยาโคบ 3 แต่เราได้เกลียดเอซาว เราได้กระทำให้เทือกเขาและมรดกของเขาร้างเปล่าสำหรับมังกรแห่งถิ่นทุรกันดาร” 4 เมื่อเอโดมกล่าวว่า “เราถูกบั่นทอนเสียแล้ว แต่เราจะกลับมาสร้างที่ปรักหักพังขึ้นใหม่” พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้ว่า “เขาทั้งหลายจะสร้างขึ้น แต่เราจะรื้อลงเสีย และผู้คนจะเรียกเขาเหล่านี้ว่า ‘เป็นเขตแดนแห่งความชั่วร้าย’ และ ‘เป็นชนชาติที่พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์’ ” 5 ตาของเจ้าเองจะเห็นสิ่งนี้และเจ้าจะกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์นี้จะใหญ่ยิ่งนักแม้กระทั่งนอกเขตแดนของอิสราเอล”
พระเยโฮวาห์ทรงติเตียนพวกปุโรหิต
6 “บุตรชายก็ย่อมให้เกียรติแก่บิดาของเขา คนใช้ก็ย่อมให้เกียรตินายของเขา แล้วถ้าเราเป็นพระบิดา เกียรติของเราอยู่ที่ไหน และถ้าเราเป็นนาย ความยำเกรงเรามีอยู่ที่ไหน นี่แหละพระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสแก่ท่านนะ โอ บรรดาปุโรหิต ผู้ดูหมิ่นนามของเรา ท่านก็ว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายดูหมิ่นพระนามของพระองค์สถานใด’ 7 ก็โดยนำอาหารมลทินมาถวายบนแท่นของเราอย่างไรล่ะ แล้วท่านว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายกระทำให้พระองค์เป็นมลทินสถานใด’ ก็โดยคิดว่า ‘โต๊ะของพระเยโฮวาห์นั้นเป็นที่ดูหมิ่น’ อย่างไรล่ะ 8 เมื่อเจ้านำสัตว์ตาบอดมาเป็นสัตวบูชา กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ และเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่พิการหรือป่วย กระทำเช่นนั้นไม่ชั่วหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า จงนำของอย่างนั้นไปกำนัลเจ้าเมืองของเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้าหรือ จะแสดงความชอบพอต่อเจ้าไหม 9 ลองอ้อนวอนขอความชอบต่อพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงพระกรุณาต่อพวกเราดูซี ด้วยของถวายดังกล่าวมานี้จากมือของเจ้า พระองค์จะทรงชอบพอเจ้าสักคนหนึ่งหรือ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ 10 อยากให้มีสักคนหนึ่งในพวกเจ้าซึ่งจะปิดประตูเสีย เพื่อว่าเจ้าจะไม่ก่อไฟบนแท่นบูชาของเราเสียเปล่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เราไม่พอใจเจ้า และเราจะไม่รับเครื่องบูชาจากมือของเจ้า 11 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นถึงที่ดวงอาทิตย์ตกนามของเราจะใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และเขาถวายเครื่องหอมและของถวายที่บริสุทธิ์แด่นามของเราทุกที่ทุกแห่ง เพราะว่านามของเรานั้นจะใหญ่ยิ่งท่ามกลางประชาชาติ 12 แต่เมื่อเจ้ากล่าวว่า ‘โต๊ะของพระเยโฮวาห์เป็นมลทิน’ และว่า ‘ผลของโต๊ะนั้นคืออาหารที่ถวายนั้นน่าดูถูก’ เจ้าก็ได้กระทำให้นามนั้นเป็นมลทินไปแล้ว 13 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้ากล่าวว่า ‘ดูเถิด อย่างนี้น่าอ่อนระอาใจจริง’ แล้วเจ้าก็ทำฮึดฮัดกับเรา เจ้านำเอาสิ่งที่ได้แย่งมา หรือสิ่งที่พิการหรือป่วย ของเหล่านี้แหละเจ้านำมาเป็นของบูชา พระเยโฮวาห์ตรัสว่า เราจะรับของนั้นจากมือของเจ้าได้หรือ 14 พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า คนใดที่มีสัตว์ตัวผู้อยู่ในฝูง และได้ปฏิญาณไว้ และยังเอาสัตว์พิการไปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า คำสาปแช่งจงตกอยู่กับคนโกงนั้นเถิด เพราะเราเป็นพระมหากษัตริย์ และนามของเราเป็นที่กลัวเกรงท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย”